การวัดประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง
การจัดการเรียนการสอนในศตวรษที่ 21
เน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนได้รับประสบการณ์ตรงจากสิ่งที่เรียน
ได้เลือกกิจกรรมตามความสามารถ
ได้ศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อสร้างองค์ความรู้
ได้ฝึกปฏิบัติทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อน
ได้ค้นหาคำตอบและแก้ปัญหาด้วยตนเอง
ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นการเรียนรู้ที่
ผู้เรียนต้องใฝ่หาความรู้อย่างต่อเนื่องโดยมีผู้สอนคอยสร้างบรรยากาศและจัด
สิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้
และเสริมแรงให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้
จากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลายที่สามารถเชื่อมโยงกับประสบการณ์จริง
โดยการวัดประเมินการเรียนด้วยแบบทดสอบเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่สามารถประเมิน
ครอบคลุมพฤติกรรมทุกด้านของผู้เรียนแล้วยังไม่อาจวัดกระบวนการคิดที่ซับซ้อน
กระบวนการเรียนรู้ ทักษะทางสังคม
ดังนั้นหากจะจัดรูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบที่เน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม
ก็ควรเปลี่ยนวิธีการประเมินเป็นแบบการวัดประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง
ที่ใช้วิธีการที่หลากหลายที่สามารถวัดประเมินได้ทั้งทักษะการคิด การทำงาน
ความสามารถในการแก้ปัญหาและการแสดงออกที่เกิดจากการปฏิบัติในสภาพจริง
เน้นพัฒนาการทั้งในส่วนของห้องเรียนและนอกห้องเรียน
ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการโดยมีผู้ประเมินหลายฝ่าย
แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการวัดประเมินตามสภาพจริง
- การแสดงความสามารถของผู้เรียนรายบุคคล
การวัดประเมินเพื่อสะท้อนถึงพฤติกรรมระดับความสามารถ
และทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้เรียนในสถานการณ์ที่เป็นจริงของการดำเนินชีวิต
โดยการวัดประเมินและการสะท้อนผลการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง
เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วนรับรู้และมีส่วนร่วมในการประเมินตนเอง
ตลอดเวลา
รวมถึงการมีส่วนร่วมวางแผนและเลือกกระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับสภาพผู้
เรียนด้วย
- การบรรลุจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
จุดมุ่งหมายของหลักสูตรการศึกษาในทุกระดับชั้นจะกำหนดให้ผู้เรียนเกิด
สมรรถนะทั้งในด้านความรู้ ทักษะ เจตคติ
และพฤติกรรมที่พึงประสงค์ตามธรรมชาติของรายวิชา
แต่วิธีการวัดประเมินผลการเรียนรู้โดยใช้ข้อสอบเป็นหลัก
ส่วนใหญ่จะวัดได้เพียงแค่ด้านความรู้ไม่ครอบคลุมตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
การศึกษาอย่างแท้จริง กระบวนการวัดประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง
ผู้สอนจะต้องคอยสังเกต จดบันทึก และรวบรวมข้อมูลจากผลงาน
วิธีการเรียนรู้สู่วิธีปฏิบัติของผู้เรียน
โดยอิงตามพฤติกรรมบ่งชี้ที่กำหนดไว้ในหลักสูตร
- การบูรณาการวิธีการและเครื่องมือในการประเมินอย่างหลากหลาย
การวัดประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง
จะใช้เครื่องมือและเทคนิคการประเมินที่หลากหลาย
ผู้สอนต้องใกล้ชิดผู้เรียนเพื่อสังเกต สอบถาม รววบรวมเอกสารตัวอย่างงาน
และสรรหาวิธีการที่สามารถกระตุ้นผู้เรียนให้เรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพ
จนสามารถประเมินได้ว่าผู้เรียนรู้อะไรบ้างและเรียนรู้อย่างไร
สามารถบูรณาการสิ่งที่เรียนรู้เข้าด้วยกันหรือเชื่อมโยงผลการเรียนรู้ไปสู่
ชีวิตจริงการประเมินเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญของหลักการวัดประเมินผลการเรียน
รู้ตามสภาพจริง
- ส่งเสริมการเรียนรู้จากสภาพจริง (Authentic learning)
การวัดประเมินตามสภาพจริง
จะต้องมีการรวบรวมผลงานจากภาคปฏิบัติและผลงานที่เกิดจากกิจกรรมการเรียนรู้
ตามสภาพจริงที่สัมพันธ์กับชีวิตประจำวันของผู้เรียน
ซึ่งเน้นให้เห็นถึงพฤติกรรมการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเรียนรู้ใน
สภาพจริง
รวมทั้งกิจกรรมการเรียนการสอนทั้งในชั้นเรียนและนอกชั้นเรียนรวมถึงแหล่ง
เรียนรู้ต่างๆ ที่ผู้สอนกำหนดไว้
ดังนั้นการประเมินตามสภาพจริงต้องประเมินทั้งจากภาคปฏิบัติ (performance
assessment)
ด้วยการสังเกตพฤติกรรมการทำงานของผู้เรียนว่าเป็นไปที่ตั้งวัตถุประสงค์ไว้
หรือไม่
และต้องวัดประเมินจากสภาพจริงที่ผู้เรียนลงมือปฏิบัติและแสดงพฤติกรรมใน
บริบทของความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน
วิธีการวัดประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง
1. การสังเกต
การสังเกต เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินผลจากสภาพจริงอย่างหนึ่ง
โดยการสังเกต
จะใช้ประเมินการแสดงออกและกระบวนการที่ผู้เรียนใช้ในการทำกิจกรรม
ทำให้ผู้สอนสามารถทราบพฤติกรรมของผู้เรียนเป็นรายบุคคล
และสามารถนำไปสรุปเป็นความคิดเห็นของผู้เรียนได้ การสังเกตมี 2 วิธี คือ
- การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (participant observation)
เป็นการสังเกตที่ผู้สอนต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง
หรือมีส่วนร่วมโดยตรงกับกิจกรรมหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
- การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (non participant observation)
เป็นการสังเกตที่ผู้สอน
ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์โดยตรงแต่จะใช้วิธีสังเกตอยู่วงนอก
ซึ่งทำให้ใช้เวลาในการเก็บข้อมูลน้อยกว่าวิธีแรกแต่ขาดข้อมูลเชิงลึกที่อยู่
เบื้องหลังของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
ในมุมมองของการวิจัยเชิงคุณภาพ
การสังเกตเป็นวิธีการเบื้องด้นในการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับปรากฏการณ์หรือ
พฤติกรรมของบุคคล โดยอาศัยประสาทสัมผัส(sensation)
ของผู้สังเกตโดยตรงซึ่งอาจใช้ร่วมกับการเก็บรวบรวมข้อมูลอื่นๆ
จุดเด่นที่สำคัญของการสังเกต
คือทำให้รู้พฤติกรรมที่แสดงออกเป็นธรรมชาติเป็นข้อมูลที่ตรงตามสภาพความเป็น
จริง จัดเป็นข้อมูลซึ่งมีความน่าเชื่อถือมาก
เครื่องมือที่ใช้ประกอบการสังเกตมีหลายชนิด เช่น
- แบบบันทึกพฤติกรรม เป็นการบันทึกข้อมูลเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้
เรียนในแต่ละวัน การบันทึกข้อมูลอาจจะทำอย่างละเอียดหรือย่อๆ ก็ได้
โดยปกติจะบันทึกหลังจากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น
โดยทั่วไปมักเขียนเป็นรายงานที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงอย่างสั้นกะทัดรัด
รวมทั้งสิ่งที่พูดหรือทำโดยสมาชิกในกลุ่ม
การสังเกตอย่างชำนาญและบันทึกอย่างเที่ยงตรงต้องให้บันทึกเหตุการณ์ที่สำคัญ
และจำเป็นได้ และยิ่งการบันทึกทำทันทีหลังจากเหตุการณ์เร็วเท่าใด
จะทำให้ได้ข้อมูลมากและมีความแม่นยำมากขึ้นเท่านั้น
การบันทึกพฤติกรรมที่ดีควรบันทึกทันทีหลังจากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น อย่างไร
ก็ตามมักจะเป็นไปไม่ได้ เพราะผู้สอนมีกิจกรรมในชั้นเรียนอยู่ตลอดเวลา
การบันทึกพฤติกรรมจึงมักจะทำภายหลังจากจบคาบเรียน
แต่บางครั้งหากบันทึกภายหลังจบคาบเรียน
ผู้สอนมักจะจำเหตุการณ์ไม่ได้ดังนั้นผู้สอนอาจจดบันทึกย่อๆ
แล้วลงมือเขียนขยายความภายหลังทันที
- แบบสำรวจรายการ
เป็นเครื่องมือสำหรับใช้ในการบันทึกข้อมูลการสังเกตแบบตั้งใจ
อย่างเป็นระบบชนิดหนึ่ง
โดยแบบสำรวจรายการจะช่วยในการบันทึกแบบตั้งใจที่จะดูพฤติกรรม
หรือการเรียนรู้ของผู้เรียนว่าเกิดขึ้นหรือไม่ องค์ประกอบของแบบสำรวจรายการ
ได้แก่ คุณลักษณะ ทักษะ ความสนใจ
และพฤติกรรมที่มุ่งหวังตามผลของการเรียนรู้ในแต่ละระดับ แบบสำรวจรายการ
จะใช้ในการประเมินการแสดงออก กระบวนการและผลผลิตของผู้เรียน
แบบสำรวจรายการที่ดีจะช่วยให้ผู้สอนสามารถจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้เหมาะ
สมกับผู้เรียน นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้สอนประเมินผู้เรียนได้ลึกซึ้ง
โดยทั่วไปแบบสำรวจ รายการจะใช้กับผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อยๆ จำนวน 4 – 5
คนในแต่ละวัน เพราะหากสังเกตทั้งชั้น ในวันเดียวย่อมจะดูแลไม่ทั่วถึง
นอกจากนี้ในการรายงานวามก้าวหน้าของผู้เรียน
การประเมินความก้าวหน้าของชั้นเรียนในโครงการบางอย่าง
การประเมินโดยใช้แบบสำรวจรายการแบบเป็นกลุ่มจะใช้ได้ดี
ประโยชน์ของการสังเกต
- ทำให้ทราบความสามารถในการทำงานของผู้เรียนรวมไปถึงท้กษะในการทำงาน วิธีการทำงาน ความก้าวหน้าในการทำงาน
- ทำให้ผู้สอนได้แนวทางในเรื่องรายละเอียดของผู้เรียน
สามารถแก้ใขเกี่ยวกับข้อบกพร่อง ต่างๆ ของผู้เรียน
และมีความเข้าใจในตัวผู้เรียนดีขึ้น
การทำให้การสังเกตมืความเที่ยงตรง
การสังเกตมีจุดบกพร่องใหญ่ๆ อยู่ 2 ประการ คือ ความเชื่อมั่น
และความเที่ยงตรงในการสังเกต
ผู้ที่จะสังเกตสามารถทำให้เครื่องมีอมีความเที่ยงตรงกับวัตถุประสงค์อย่าง
แท้จริงได้ดังนี้
- ระยะเวลาที่สังเกตพฤติกรรมรายบุคคล อย่าสังเกตเพียงครั้งเดียวแล้วตัดสินต้อง สังเกตหลายๆ ครั้งและจะต้องสังเกตในเวลาที่ต่างกัน
- ควรใช้ผู้สังเกตมากกว่า 1 คน เพราะจะทำให้ความลำเอียงในการสังเกตลดน้อยลงได้ จะเพิ่มความเชื่อมั่นในการสังเกตด้วย
- มีการทำบันทึกท้นทีและแปลผลการสังเกตหลังบันทึก
- แบบจัดบันทึกควรจะเป็นการบันทึกพฤติกรรมเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเท่านั้น
- ควรมีคู่มือในการสังเกตควบคู่กันกับแบบบันทึกผลการสังเกต
คู่มือนั้นควรระบุบอกลักษณะของพฤติกรรมที่จะสังเกตได้ วิธีการจัดบันทึก
ตลอดจนเกณฑในการให้คะแนนผู้สังเกตควร จะได้ศึกษาคู่มือก่อนท่าการสังเกต
หลักการสังเกต
- มีจุดมุ่งหมาย ต้องทราบว่าจะสังเกตพฤติกรรมในเรื่องใด พร้อมทั้งแจกแจงการ แสดงออกของพฤติกรรมนั้นให้ละเอียด
- การรับรู้รวดเร็ว ผู้สังเกตสามารถมองเห็นพฤติกรรม หรืออาการที่ผู้เรียนแสดงออกมาได้อย่างรวดเร็ว
เพราะการแสดงพฤติกรรมบางชนิดเมื่อแสดงออกมาแล้วจะผ่านไปไม่เกิดซ้ำบ่อยๆ หรือไม่อาจเกิดขึ้นอีกเลยก็ได้
- สังเกตหลายคน หรือหลายครั้ง
วิธีการที่จะท่าให้ผลการสังเกตที่ได้เป็นที่น่าเชื่อถือได้
หรือมีความเชื่อมั่นสูง ถ้าเป็นไปได้ควรใช้ผู้สังเกตหลายคน เช่น 2-5 คน
- สังเกตให้ตรงกับความจริง
การสังเกตที่ดีต้องพยายามให้ใต้พฤติกรรมการแสดงออกที่
เป็นธรรมชาติที่แท้จริงของผู้เรียนมากที่สุด จึงจะเกิดคุณภาพ
- มีการบันทึกผลอย่างถูกต้อง รวดเร็ว
2. การสัมภาษณ์
เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้!นการรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมต้านต่างๆ ได้ดี เช่น
ความคิด ความรู้สึก กระบวนการในการทำงาน วิธีการแก้ปัญหา
เนื่องจากการสัมภาษณ์สามารถสังเกตพฤติกรรมต่างๆ ของผู้ตอบ
การสัมภาษณ์แบ่งออกได้ เป็น 2 ประเภทคือ
- การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง หรือการสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการเป็นการสัมภาษณ์ที่มีคำถามและ ข้อกำหนดตายตัว
- การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง
เป็นเทคนิคที่ไม่ได้กำหนดคำถามไว้ล่วงหน้า
ผู้สัมภาษณ์สามารถตั้งคำถามในประเด็นที่เขาสนใจได้อย่างต่อเนื่อง
ขั้นตอนการสัมภาษณ์
- การเตรียมการสัมภาษณ์ได้แก่ การเลือกกลุ่มตัวอย่าง
เตรียมงานขั้นตันเกี่ยวกับกลุ่มตัวอย่าง วางแผนการสัมภาษณ์
ซ้อมสัมภาษณ์บุคคลอื่นที่มิใช่ผู้ตอบ เพื่อจะได้แก้ไขคำถามให้สมบูรณ์
เตรียมอุปกรณ์จดบันทึก และการนัดหมายกับผู้ตอบ
- ขั้นเริ่ม การสัมภาษณ์ได้แก่ การสร้างบรรยากาศให้มีความเป็นกันเอง
บอกวัตถุประสงค์
การจดบันทึกหรือใช้เครื่องบันทึกเสียงต้องแจ้งให้ผู้ถูกสัมภาษณ์
พูดคุยก่อนสัมภาษณ์จริง
- ขั้นสัมภาษณ์และบันทึกข้อมูล ได้แก่
ใช้คำถามที่เตรียมไว้ล่วงหน้าเป็นแนวทางในการสัมภาษณ์
ตั้งใจฟังและป้อนคำถามในจังหวะที่เหมาะสม ใช้ภาษาที่สุภาพและเข้าใจง่าย
3. แบบสอบถาม
แบบสอบถามเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้เก็บรวบรวม
ข้อมูลด้านต่างๆ ที่ต้องการทราบจากผู้ตอบ
ซึ่งแบบสอบถามอาจจะมีลักษณะการสร้างขึ้นเพื่อทดแทนการสัมภาษณ์แบบสอบถามไม่
มีการตัดสินว่าถูกหรือผิด แบบสอบถามจำแนกตามลักษณะของข้อคำถาม
อาจจะมีหลายชนิด เช่น
- ข้อคำถามชนิดให้เขียนตอบ อาจเป็นการเขียนสั้นๆ
หรือเติมคำในช่องว่างที่กำหนดให้ข้อคำถามชนิดนี้มักจะใช้ในการเก็บข้อมูลที่
หลากหลายไม่สามารถเดาคาดคะเนคำตอบได้ว่ามีรายละเอียดอย่างไร
หรือจัดเป็นหมวดหมู่ได้ยาก
ลักษณะข้อมูลมีทั้งส่วนที่เป็นเท็จและเป็นจริงซึ่ง
เป็นข้อมูลเรื่องทั่วไปและความคิดของผู้เรียน
- ข้อคำถามชนิดเลือกตอบจากตัวเลือกที่กำหนดไว้
ซึ่งอาจเป็นแบบให้เลือกตอบเพียงตัวเลือกเดียวหรือหลายตัวเลือก
ข้อคำถามชนิดนี้มักใช้เก็บรวบรวมข้อมูลจากคำถามที่มีแนวตอบที่แน่ชัดอยู่
แล้ว ข้อมูลสามารถนำมาจัดเป็นหมวดหมู่ได้
ลักษณะของข้อมูลมักจะเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้อมูล ทั่วไป
- ข้อคำถามแบบมาตราส่วนประมาณคำ
ซึ่งใช้กรณีที่ต้องการข้อมูลความคิดเห็นเกี่ยวกับระดับความสำคัญหรือระดับ
ของปัญหา หรือระดับความต้องการของข้อความแต่ละข้อว่าอยู่ในระดับใด
- ข้อคำถามที่ให้จัดลำดับความสำคัญของคำถามที่กำหนดให้
ใช้ในกรณีที่ต้องการทราบลำดับความสำคัญของข้อความแต่ละข้อในกลุ่มข้อความที่
กำหนดให้กลุ่มหนึ่งว่ามีความสำคัญเรียงลำดับอย่างไร
ในการประเมินตามสภาพจริงที่ใช้แบบสอบถามควรพิจารณาใช้แบบสอบถามปลายเปิด
ชนิดเขียนตอบด้วยแบบสอบถามประเภทนี้ไม่มีคำตอบที่แน่นอน
เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดง ความคิดที่อิสระปราศจากแรงกดดันใดๆ
ในการแสดงถึงการแก้ปัญหาที่ไม่มีการตัดสินว่าสิ่งที่ได้แสดงความคิดเห็นไป
นั้นถูกหรือผิด คำตอบที่ได้เป็นเครื่องชี้วิธีการทำงาน ความคิดและบุคลิกภาพ
ของผู้เรียนเอง
4. การตรวจผลงาน
การตรวจผลงานเป็นวิธีการประเมินที่ผู้สอนใช้เป็นประจำและใช้บ่อยที่สุด
อีกวิธีการหนึ่ง
การตรวจผลงานจะเป็นการช่วยเหลือผู้เรียนที่ยังประสบปัญหาในการจัดกิจกรรมการ
เรียนการสอน
ประการหนึ่งส่วนอีกประการหนึ่งเป็นการน่าข้อมูลที่ได้จากการตรวจผลงานมาใช้
ในการปรับปรุงการ จัดกิจกรรมการเรียนการสอนของผู้สอน
การวัดประเมินผลจากการตรวจผลงาน ผู้สอนสามารถดำเนินการได้ตลอดเวลาเช่น
การตรวจแบบฝึกหัดผลการปฏิบัตตามโครงการหรือโครงงานต่างๆ
ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ผู้สอนสามารถประเมินพฤติกรรมระดับสูงของผู้เรียนได้เป็น
อย่างดี
ข้อเสนอแนะสำหรับการตรวจผลงาน
- ผู้สอนอาจกำหนดงานร่วมกับผู้เรียนและไม่ควรเป็นชิ้นเดียว
แต่ก็ไม่จำเป็นต้องนำงานทุกชิ้นมาประเมิน
อาจเลือกเฉพาะชิ้นงานที่ผู้เรียนทำได้ดี
และการบอกความหมายความสามารถของผู้เรียนตามลักษณะที่ผู้สอนต้องการประเมิน
ได้ วิธีนี้เป็นการเน้นจุดแข็งของผู้เรียน
นับเป็นการเสริมแรงสร้างแรงกระตุ้นให้ผู้เรียนพยายามผลิตงานที่ดีๆ
ออกมามากขึ้นอีกวิธีหนึ่ง
- จากแนวคิดตามข้อ 1
ชิ้นงานที่นำมาประเมินแต่ละคนจึงไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเดียวกัน เช่น
ผู้เรียนคนที่ 1 งานที่ (ทำได้ดี) ควรหยิบมาประเมินอาจเป็นชิ้นงานที่ 2, 3,
5 ส่วนผู้เรียนคนที่ 2 งานที่ควรหยิบมาประเมินอาจเป็นชิ้นงานที่ 1, 2, 4
เป็นต้น
- อาจประเมินชิ้นงานที่ผู้เรียนทำนอกเหนือจากที่ผู้สอนกำหนดได้
แต่ต้องมั่นใจว่าเป็นสิ่งที่ผู้เรียนทำเองจริงๆ เช่น
สิ่งประดิษฐ์ที่ผู้เรียนทำเองที่บ้าน
หรือสิ่งที่ผู้เรียนทำขึ้นเองตามความสนใจ เป็นต้น
การใช้ข้อมูลและหลักฐานผลงานอย่างกว้างขวางจะทำให้
ผู้สอนรู้จักผู้เรียนมากยิ่งขึ้นและประเมินความสามารถของผู้เรียนตามสภาพที่
แท้จริงของเขาได้แม่นยำยิ่งขึ้น
- ผลของการประเมินไม่ควรที่จะบอกคะแนนหรือคุณภาพที่เป็นเฉพาะต้วเลขอย่างเดียว แต่ควรที่จะบอกความหมายของผลของคะแนนด้วย
5. การใช้บันทึกจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง
การประเมินความก้าวหน้าในการเรียนของผู้เรียน
นอกจากผู้สอนจะใช้วิธีการและเครื่องมือต่างๆ ที่หลากหลายแล้ว
ผู้สอนควรเปิดโอกาสให้บุคคลที่เกี่ยวข้องและใกล้ชิดกับผู้เรียนได้
มีส่วนร่วมในการรายงานข้อมูลต่างๆ เพื่อนำมาประกอบการประเมินด้วย
การประเมินจากบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายๆ
คนจะเป็นการหาความเชื่อมั่นของการประเมินจากสภาพความเป็นจริงอีกทางหนึ่ง
ข้อมูลที่ได้จากบุคคลที่เกี่ยวข้องมีจุดเด่นตรงที่จะได้ข้อมูลของผู้เรียน
จากสถานการณ์ต่างๆ และจากเวลาที่แตกต่างกัน
ซึ่งข้อมูลส่วนนี้จัดว่ามีความสำคัญในการที่จะนำมาวิเคราะห์ สังเคราะห์
และสรุปผล โดยบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้เรียน เช่น เพื่อนผู้เรียน เป็นต้น
6. แบบทดสอบวัดความสามารถที่เป็นจริง
ข้อสอบจะใช้คำถามที่เกี่ยวกับการนำความรู้ไปใช้ในสถานการณ์
ต่างๆ หรือการสร้างความรู้ใหม่จากความเข้าใจและประสบการณ์เดิม
หรือสถานการณ์จำลองที่กำหนดขึ้นให้คล้ายคลึงกับสถานการณ์จริงหรือเลียนแบบ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เช่น ข้อสอบวัดทักษะการใช้ภาษาเพื่อสื่อสาร
ข้อสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
7. การรายงานตนเอง
การให้ผู้เรียนเขียนบรรยายความรู้สึก
หรือพูดแสดงความคิดเห็นออกมาโดยตรง เพื่อประเมินความรู้สึกนึกคิด
ความเข้าใจ และความต้องการของผู้เรียน
ซึ่งช่วยให้ผู้สอนเข้าใจผู้เรียนมากขึ้นและสามารถประเมินผลการเรียนรู้ด้าน
ความรู้ ความเข้าใจ ทักษะกระบวนการ รวมถึงทัศนคติต่อการเรียนรู้ได้
8. การใช้แฟ้มสะสมผลงาน
การจัดเก็บตัวอย่างผลงานที่มีการรวบรวมไว้อย่างเป็นระบบ
และกระทำอย่างต่อเนื่อง
เพื่อใช้เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นถึงความสามารถของผู้เรียนในด้านความรู้
ความเข้าใจ และทักษะต่างๆ ที่ผู้เรียนพัฒนา
ทั้งนี้ผลงานสามารถนำมาประกอบการประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนให้มีความน่า
เชื่อถือได้
วิธีการให้คะแนนในการวัดประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง
การวัดประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง มีวิธีการหลากหลายในการให้คะแนนโดยมีรายละเอียดดังนี้
- การให้คะแนนแบบไม่ชัดเจน (ตามใจผู้ประเมิน) เช่น
ในการตรวจให้คะแนนโครงงาน ถ้ากำหนดคะแนนเต็ม 10 คะแนน
ผู้สอนอาจใช้เกณฑ์ในใจซึ่งเป็นไปตามความคิดของผู้สอน
ตัดสินให้คะแนนตามที่ห็นสมควรเป็น 6, 8 คะแนน เป็นต้น
มีแนวโน้มที่จะเกิดความลำเอียงได้ง่าย
การให้คะแนนเช่นนี้เป็นการยากต่อการแปลความหมาย
- การให้คะแนนแบบถูกผิดชัดเจน เช่น
ในการตรวจข้อสอบเมื่อตอบถูกตรงตามเฉลยก็ได้คะแนนเต็ม
แต่เมื่อตอบผิดก็ไม่ได้คะแนนดังที่ใช้ในการตรวจข้อสอบแบบถูกผิด แบบจับคู่
หรือแบบตัวเลือก
- การให้คะแนนแบบมาตรประมาณค่า (Rating scales)
เป็นการให้คะแนนตามช่วงของความถูกต้องของคำตอบ หรือการแสดงพฤติกรรม
หรือคุณภาพของชิ้นงาน เช่น ในมาตรประมาณค่า 5 ช่วง หรือ 3 ช่วง ฯลฯ
เมื่อตอบถูกมากที่สุดหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยที่สุดหรือชิ้นงานมีคุณภาพมากที่
สุดจะได้ 5 คะแนน ลดหลั่นลงไปตามลำดับจนถึง 1
คะแนนเมื่อตอบถูกต้องน้อยที่สุด หรือแสดงพฤติกรรมน้อยที่สุด
หรืองานมีคุณภาพน้อยที่สุด เป็นต้น
การให้คะแนนวิธีนี้มีเชื่อถือได้มากขึ้นแต่ยังไม่สมบูรณ์ที่จะให้ข้อมูล
ป้อนกลับในเชิง “คุณภาพ” ว่าส่วนที่บกพร่องไปนั้นคืออะไร
- การให้คะแนนตามเกณฑ์การให้คะแนน หรือรูบริค (Rubric)
วิธีการให้คะแนนที่ใช้หลักการของมาตรประมาณค่าประกอบกับการพรรณนาคุณภาพ
กล่าวคือ แทนที่จะใช้ตัวเลข เช่น 5 – 4 – 3 – 2 – 1 หรือ 3 – 2 – 1 ฯลฯ
มีการแปลความหมายกำกับด้วยและเพิ่มข้อมูลรายละเอียดว่าคะแนนที่ได้ลดหลั่นลง
ไปมีความบกพร่องที่บ่งชี้เป็นข้อมูลเชิง “คุณภาพ” ว่าเป็นอย่างไร
ข้อมูลเชิงคุณภาพที่ผนวกอยู่กับข้อมูลเชิงปริมาณในการให้คะแนนแบบรูบริคนี้
มีประโยชน์ในการให้ข้อมูลป้อนกลับแก่ผู้ถูกประเมิน
ซึ่งเป็นการตอบสนองหลักการของการประเมินผลเพื่อการปรับปรุง
แหล่งอ้างอิง
1. ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์. (2554). 80
นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ. กรุงเทพฯ : แดแน็กซ์
อินเตอร์คอร์ปอเรชั่น. พิมพ์ครั้งที่ 4.
2. สมศักดิ ภู่วิภาดาวรรธน์. (2545). การยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและการประเมินตามสภาพจริง. เชียงใหม่: โรงพิมพ์แสงศิลป์.
3. สุนันท์ ศลโกสุม. (2552). การวัดผลการศึกษา. กรุงเทพฯ: สำนักทดสอบทางการศึกษาและจิตวิทยา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
4. ชาตรี เกิดธรรม. แนวคิดในการวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้. แหล่งที่ค้นคว้าจากเว็บไซด์ : http://edu.vru.ac.th/sct/cheet%20downdload/6.pdf
|